วันพุธที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ศัลยกรรมสยองขวัญ 10 อันดับ

ศัลยกรรมสยองขวัญ 10 อันดับ

ก่อนที่คุณจะตัดสินใจทำศัลยกรรม โปรดดูตัวอย่างต่อไปนี้ก่อน แล้วจึงตัดสินใจอีกครั้ง...



อันดับที่ 10
Michaela Romanini สาวสังคมชาวอิตาลี เธอเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงในเรื่องของการฉีดคลอลาเจน



อันดับที่ 9
Amanda Lepore ดารานางแบบสาวประเภทสอง ชาวอเมริกัน


อันดับที่ 8
Jackie Stallone ดารานักแสดงชาวอเมริกัน


อันดับที่ 7
Donatella Versace ดีไซน์เนอร์สาวชาวอิตา




อันดับที่ 6
Eric Sprague นักแสดงโชว์ชาวอเมริกัน(tm)


อันดับที่ 5
Dennis Avner ชายชาวอเมริกัน ที่ทำศัลยกรรมใบหน้า ตัวเองเพื่อให้ดูเหมือนแมว


อันดับที่ 4
Pete Burns นักร้องเกย์สาวชาวอังกฤษ


อันดับที่ 3
Michael Jeckson ราชาเพลงร็อคชาวอเมริกัน ผู้ที่ขึ้นชื่อทางด้านศัลยกรรมเปลี่ยนสีผิว อีกทั้งจมูกที่ทำมาไม่ต่ำกว่า 10 ครั้ง


อันดับที่ 2
Jocelyn Wildenstein นักพูด Talk Show อายุ 68 ปี



อันดับที่ 1
Hang Mioku สาวเกาหลี ที่รักการฉีดหน้าเป็นชีวิตจิตใจ ทำมาโดยตลอดเป็นระยะเวลากว่า 20 ปี ถึงขั้นใช้น้ำมันพืชฉีดหน้าตัวเอง


เมื่อเห็นสภาพการศัลยกรรมแบบนี้แล้ว คงจะทำให้การตัดสินใจที่จะไม่ทำ ง่ายขึ้น เพราะถ้าเราแก่ตัวลงไป จะแก้ไขอะไรให้กลับคืนสภาพเดิมคงทำได้ยากแล้ว

ธรรมชาติให้มาดีที่สุดสำหรับเราแล้วล่ะครับ

สาธุ

วันอังคารที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ยาห้ามกิน มาม่า และ คอหมูย่าง

เมล์ฉบับนี้ส่งมาให้ แต่ไม่ทราบว่า จริงเท็จอย่างไรครับ

ห่วงคนใกล้เคียงอ่านแล้วกระจายข่าวด้วย

ประกาศเพิกถอนยา
ขณะนี้อนุกรรมการควบคุมอันตรายจากการใช้ยา มีมติในรอบแรกว่า ให้เพิกถอนยาที่มีส่วนผสมของ พีพีเอ ซึ่งมีผลทำให้ เลือดออกในสมอง ได้ ต่อไปนี้
1. ทิฟฟี่
2. ดีคอลเจน
3. นูต้า
4. นูต้าโคล
5. ทิพทอพ
6. ฟาโคเจน
7. โคลัยซาล
8. ไดมีเท๊ป

มาม่า ไวไว แบบถ้วย
มีผู้แจ้งข่าวเกี่ยวกับอันตรายของการกิน บะหมี่สำเร็จรูป ที่บรรจุในถ้วย (Cup) ว่าหลานของเพื่อนเขาชอบกินบะหมี่ใส่ถ้วยมาก ต่อมาแพทย์ตรวจพบว่าผนังกระเพาะอาหารของหลานผู้นี้มี ขี้ผึ้ง (wax) เคลือบอยู่ คาดว่ามาจากบะหมี่สำเร็จรูปที่บรรจุในถ้วย ซึ่งเคลือบด้วยขี้ผึ้งชนิดที่กินได้ แต่แม้จะเป็นขี้ผึ้งชนิดที่กินได้ การรับประทานเข้าไปเป็นประจำก็ทำให้ตับของเรากำจัดออกไปได้ยาก หลานของเพื่อนคนนี้ ได้ เสียชีวิต ไปแล้ว เมื่อรับการผ่าตัดเพื่อลอกเอาขี้ผึ้งที่เคลือบผนังกระเพาะออก ฉะนั้น โปรดอย่าได้ลวกบะหมี่ หรืออาหารอื่นใดในถ้วยบรรจุ แต่ให้เทลง ในชามก่อนแล้วจึงใส่น้ำร้อนลง ไป

สคบ. เตือนประชาชนระวังติดเชื้อโรค หากบริโภคเลือดหมูและคอหมูย่างที่ไม่สะอาด
หลังพบคนงานโรงฆ่าสัตว์บางแห่ง ใช้ เท้ากวนเลือดหมู หน้าตาเฉย และ ฉีดวัคซีนป้องกันโรคเข้าคอหมู โดยไม่เปลี่ยนเข็ม ระบุทุกกรรมวิธีเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคอย่างดีที่ผ่านมาผู้ประกอบการโรงฆ่าสัตว์ยังฆ่าสัตว์ด้วยวิธีโบราณ คือการทุบหัวและแทงคอ นอกจากนี้ ยังพบว่า กระบวนการฆ่าสัตว์ในโรงฆ่าสัตว์ ไม่มีความสะอาด และไม่ได้มาตรฐาน แต่อย่างใดซึ่งส่วนนี้นายชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ ประธานอนุกรรมการป้องกันปราบปรามการละเมิดสิทธิผู้บริโภค ได้ให้เจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบและทำการถ่ายวิดีโอขั้นตอนการชำแหละเนื้อสัตว์ ซึ่งพบว่ามีความสะอาดไม่เพียงพอการบริโภค โดยเฉพาะในส่วนของเลือดหมูนั้นปรากฏว่า คนงานจะใช้เท้าคนเลือดเพื่อไม่ให้แข็งตัวในขณะที่มือก็กำลังหั่นหมูที่แขวนอยู่ด้วย ในส่วนของ จ.นครปฐม พบว่ายังมีปัญหาอยู่ ซึ่งจากการออกตรวจพบว่า ได้มีการฆ่าสัตว์ 400-500 ตัวต่อวัน แต่มีการฆ่าในโรงฆ่าสัตว์เพียงแค่ 21 ตัวเท่านั้น นอกนั้นได้นำมาชำแหละที่ฟุตบาท และอยากเตือนคนที่ชอบกินคอหมูย่างเพราะพบว่า ชาวบ้านที่เลี้ยงหมูได้ฉีดวัคซีนแก้ปากเปื่อยเท้าเปื่อยที่คอหมูทุกตัว โดยไม่มีการเปลี่ยนเข็ม ซึ่งตรงนี้ทำให้หมูติดเชื้อโรคที่มาจากเข็มฉีดยาได้ง่าย หมูบางตัวติดเชื้อจนคอเป็นหนอง ซึ่งหากใครกินเนื้อหมูที่ติดเชื้อเข้าไปก็อาจเป็นอันตราย

บอกต่อทุกๆคนนะ กระจายข่าวด้วย

วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ข้อคิดดีๆ กับสิ่งใกล้ตัว...ทำบ่อยๆ จะได้มีคุณค่ากับตัวเราเอง

ข้อคิดดีๆ กับสิ่งใกล้ตัว...ทำบ่อยๆ จะได้มีคุณค่ากับตัวเราเอง

ข้อคิดดีๆ ให้เปิดอ่าน อ่านบ่อยๆ ไม่เสียหาย (เสียค่าไฟนิดหน่อย) จะช่วยให้เรามีแนวทางดำเนินชีวิตได้อีกเยอะเลยจ๊ะ ..เอ๊า เริ่มเลย

1. นึกเสมอว่าการโกรธ 1 นาที จะทำให้ความทุกข์อยู่กับเรา 3 ชั่วโมง

2. ถ้ายิ้มให้กับคนที่อยู่ในกระจก รับรองว่าเค้าต้องยิ้มตอบกลับมาทุกครั้งแน่

3. หลับตานิ่งๆ ซัก 3 นาที เมื่อรู้สึกว่าอะไรตรงหน้ามันช่างยากจัง

4. ระหว่างแปรงฟันถ้าฮัมเพลงด้วยไปจนจบจะทำให้ฟันสะอาดขึ้น 2 เท่าแน่ะ

5. เคี้ยวข้าวแต่ละคำให้ช้าลง จากที่รสชาติธรรมดาก็จะอร่อยขึ้นเยอะ

6. ควรหัดพูดคำว่า “ไม่เป็นไร” ให้เคยปากมากกว่าการพูดคำว่า “จะเอายังไง”

7. สัตว์เลี้ยงที่บ้านเก็บความลับเก่ง เรื่องที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้ สามารถเล่าให้มันฟังได้นะ

8. อาหารที่ไม่ชอบกินตอนเด็ก ลองตักเข้าปากอีกที เผื่อจะกลายเป็นอาหารจานโปรด

9. เขียนชื่อคนที่เธอเกลียดใส่กระดาษแล้วฉีกทิ้ง ความเกลียดจะเบาบางลงเรื่อยๆ

10. ปล่อยน้ำตาให้ไหลโดยไม่ต้องเช็ด เมื่อน้ำตาแห้ง จะดูไม่ออกว่าเพิ่งร้องไห้มา

11. ก่อนจะซื้ออะไรก็ตาม ต้องคิดหาประโยชน์ของมันให้ได้อย่างน้อย 3 ข้อก่อน

12. ถึงเสื้อกางเกงในตู้จะมีอยู่น้อย แต่ถ้าสลับกันไปเรื่อยๆ ก็ดูเหมือนจะเยอะขึ้น

13. เลือกให้ของขวัญคนที่ไม่เคยได้รับ ดีกว่าคนที่ได้รับเยอะจนจำชื่อคนให้ไม่หมด

14. ในวันที่รู้สึกเศร้าๆ เหงาๆ เดินไปซื้อดอกไม้ให้ตัวเองสักดอกแล้วจะรู้สึกดีขึ้น

15. แอบรักใครสักคน ยังไงก็ดีกว่าไม่เคยรู้ว่า “ความรัก” เป็นยังไง

16. ถึงจะไม่ได้ออกไปไหน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าแต่งตัวสวยๆ หล่อๆ ไม่ได้นี่

17. พยายามอ่านหนังสือทุกชนิดในมือให้จบเล่ม อาจไม่สนุกแต่มีประโยชน์แฝงอยู่

18. วันที่ตื่นเช้าๆ ให้บิดขี้เกียจนานที่สุดเท่าที่จะทำนานได้ ถ้าขี้เกียจออกกำลังกายน่ะ

19. รู้รึเปล่าว่าดอกไม้ที่บานอยู่กับต้น ยังไงก็อยู่ได้นานกว่าบานในแจกัน

20. ทะเลาะกับใครๆ พร้อมรอยยิ้ม เรื่องราวจะจบง่ายกว่าที่คิดเยอะ

21. เอารูปตัวเองตอนเด็กๆ มาดูตอนเครียด อารมณ์จะดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ

22. พยายามหาข้อบกพร่องของคนที่เธออิจฉา อย่างน้อยก็มีข้อปลอบใจตัวเองบ้าง

23. โทรไปหาแฟนแล้วพูดแค่คำเดียวว่า “คิดถึง” พอวางสายแล้วต้องยิ้มทั้งคู่

24. ในวงสนทนาถ้ายังนึกไม่ออกว่าจะคุยอะไร รอยยิ้มสามารถช่วยแก้สถานการณ์ได้

25. ค่อยๆ เดินทอดน่องแบบสบายๆ ในวันที่ไม่มีธุระให้ต้องไปสะสาง

26. ซื้อของฝากทุกคนในบ้าน ก็เหมือนกับการซื้อของฝากตัวเองนั่นแหละ

27. จะหน้าตายังไงก็แล้วแต่ ถ้าทิ้งขยะลงพื้น ก็กลายเป็นขี้เหร่ได้ทันตาเห็น

28. นั่งสมาธิให้นานๆ และบ่อยๆ ก็ทำให้ผิวสวยขึ้นได้เหมือนกัน

29. นอกจากตอนที่เคี้ยวข้าวแล้ว ไม่ว่าก่อนหรือหลังกินก็หัวเราะได้อร่อย

30. จินตนาการถึงเรื่องที่อยากมีหรืออยากเป็น คือยานอนหลับอย่างหนึ่ง

31. อ่านหนังสือหรือการ์ตูนโปรดเป็นการเติมน้ำมันให้ตัวเองอย่างดี

32. ยังไม่มีใครเคยแย้งว่า การอาบน้ำไม่สามารถคลายเครียดได้จริงๆ

33. ก่อนจะด่าใครให้นับ 1 ถึง 50 เผลอๆ อาจจะไม่อยากด่าแล้วก็ได้

34. ไม่ต้องทำยังไงกับเพื่อนที่หักหลัง ก็แต่อย่าเรียกเค้าว่าเพื่อนก็พอแล้ว

35. รักครั้งแรกส่วนใหญ่ก็อกหักทั้งนั้น น่าจะดีใจที่ไม่แปลกกว่าชาวบ้านเค้า

36. การที่ทำของหายอาจเป็นการใช้หนี้จากชาติที่แล้วให้คนอื่นที่เก็บมันได้

37. ถึงจะไม่มีเงินอยู่ในกระเป๋าซักบาท ยังดีกว่าไม่มีเสื้อผ้าให้ใส่ตั้งเยอะ

38. หนี้ที่โดนเบี้ยวไป ทำให้เรารู้จักใครบางคนดีขึ้นโดยไม่ต้องใช้เวลามาก

39. คนอื่นไม่เข้าใจเราไม่เห็นแปลก ในเมื่อเราก็ไม่เข้าใจคนอื่นเหมือนกัน

40. ไม่ต้องช่วยใครๆ ด่าตัวเอง ถ้าสิ่งที่ทำไปแน่ใจว่าพยายามเต็มที่แล้ว

41. วิ่งให้เหนื่อยมากๆ ความโกธรจะได้ถูกขับออกมาพร้อมกับเหงื่อ

42. ถ้ากลัวจะนอนฝันร้าย สวดมนต์ก่อนนอนเหมือนตอนเด็กๆ ดูสิ

43. ของฝากสำหรับคนห่างไกล คือการโผล่ไปเซอร์ไพรส์ด้วยตัวเอง

44. เพลงจังหวะมันๆ ทำให้คนฟังกระปรี้กระเปร่าได้โดยอัตโนมัติ

45. อย่าเดาว่าอะไรอยู่ในกล่องของขวัญ แล้วจะไม่รู้จักคำว่าผิดหวัง

ทุกสิ่งทำได้แน่ แค่ตั้งใจ

10 ชื่อเล่นหญิงไทยที่ฝรั่งคนไหนก็ตะลึง!!

10 ชื่อเล่นหญิงไทยที่ฝรั่งคนไหนก็ตะลึง!!

หมายเหตุ : เอนทรีนี้เขียนขึ้นมาขำๆ อย่าซีเรียสมาก

จะมีชาติไหนในโลกที่จำชื่อเล่นคนแทนชื่อและนามสกุลจริงของคนอื่น? แน่นอนว่า Thailand Only เพราะชื่อเล่นของคนไทยมันจำง่ายกว่า โดยเฉพาะชื่อเล่นของผู้หญิง แค่ชื่อเล่นพยางค์สองพยางค์ก็เก๋แล้ว เมมในมือถือก็ง่ายด้วย


แต่ จะมีใครรู้บ้างว่าชื่อเล่นที่ผู้หญิงใช้อยู่ในตอนนี้ ฝรั่งบางคนฟังแล้วก็รู้สึกเหวออยู่ไม่ใช่น้อย คิดในใจว่า โห...พ่อแม่ช่างตั้งชื่อได้เนอะ ซึ่งพวกเธอก็ช่างเป็นสาวมั่นนัก ยังคงใช้ชื่อเล่นของหล่อนโกอินเตอร์ต่อไปอย่างไม่แคร์สื่อเลยทีเดียว

ต่อไปนี้คือชื่อ 10 ชื่อ ที่อาจทำให้ฝรั่งหลายคนอึ้งทึ่งตะลึงงัน

พร (P๐rn)

เป็นทั้งชื่อเล่นและชื่อจริงของผู้หญิง ซึ่งมีความหมายที่รู้จักกันดีในกลุ่มผู้ชายคือ "หนังโป๊" ว่า ไปแล้วผมเคยมีอาจารย์สมัยมัธยมท่านหนึ่งชื่อ "อัมพร" (I'm P๐rn) มีสามีเป็นฝรั่ง ปัจจุบันได้ลาออกและย้ายไปอยู่ที่แคนาดาแล้ว ทุกวันนี้ผมก็ยังรออยู่ว่าเมื่อไหร่ท่านจะออกผลงานให้ชมกันสักที




******************************

น้อย (Noise)


เรียก แค่น้อยเฉยๆ ยังพอเข้าใจ แต่มีผู้หญิงหลายคนชอบออกเสียงกระแดะให้มันอ่านว่า น้อยส์ พวกเธอจะรู้มั้ยนะว่ามันมีความหมายว่า "หนวกหู รบกวน น่ารำคาญ"

ฝรั่งที่จะเอาคุณเธอมาเป็นเมียคงต้องทำใจหน่อยนะ เพราะระยะยาวคุณอาจจะเสียสุขภาพจิตได้




******************************

พี (Pee)

ความหมายคือ "ฉี่" ถ้าฝรั่งถามชื่อแล้วเจ้าตัวตอบเป็นชื่อนี้ ฝรั่งอาจจะคิดว่าเธอปวดฉี่ก็ได้




******************************

ปู (Poo)



ชื่อนี้มีความหมายว่า "ขี้"

ผม มีเพื่อนอยู่คนหนึ่งชื่อ ปู พอขึ้นมหา'ลัย เธอเพิ่มคำต่อท้ายเป็น "ปู๋ปู้" มีแฟนเป็นนักศึกษาชาวกรีก ทุกวันนี้ก็ยังคบกันอยู่ คาดว่าหมอนั่นคงจะติดใจรสชาติที่เธอป้อนให้ละมั้ง



******************************

ฟัก (F**k)

เอิ่ม...ไม่ต้องบอกความหมายทุกคนก็คงรู้จักกันดี

อย่า หาว่าผมเมคเรื่องขึ้นมาเลยนะ แต่ผมเคยเจอผู้หญิงที่ใช้ชื่อเล่นว่า ฟัก เดินอยู่ในกรุงเทพจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีคนใช้นามสกุลต่อหน้าหรือไม่ต้องต่อท้่ายว่า ฟัก อีกด้วย

ชื่อนี้ฝรั่งคงจะปวดไมเกรนทุกครั้งที่จำเป็นต้องเรียกขานแน่ๆ



******************************

ยู (You)

"Hello. What's your name?"

"ยู"

"Dante. and your name?"

"ยู"

"Dante."

"ยู"

"I said Dante."

"Hey, I had answer, my name's Dante. And what is your name?"

"ยู"

"...Forget it."

น่าสงสารนายดันเต้ ชาตินี้มันคงไม่รู้หรอกว่าสาวไทยคนนั้นชื่อ ยู



******************************

หมี (Me)

"Hello. What's your name"

"หมี"

"Yes."

"หมี"

"Yes, I mean you."

"หมี"

"Yeah, can you tell me your name?"

"หมี"

"Do you understand English?"

"หมี"

"...Forget it"

คราวหน้าน้องหมีคงต้องแนะนำตัวเองว่าชื่อโพล่าแบร์ละมั้ง ฝรั่งถึงจะเข้าใจ



******************************

พริกไทย (Pig Thai)

อยู่ เมืองไทยเป็นนักร้องชื่อดัง แต่ไปอยู่เมืองนอก ฝรั่งมองเป็นตัวขี้เกียจ ชีคมองเป็นของเสลง ซึ่งอิมพอร์ตมาจากเมืองไทยซะอย่างงั้น เอิ้ว

ป.ล. เจ้าของบล็อกมีซีดีเพลงของพริกไทยอยู่ที่บ้านด้วยนะเออ



******************************

ลูกชิด (Look Sh!t)

มี จริงๆ นะ ผู้หญิงที่ชื่อลูกชิด ตอนแรกที่ได้ยิน ผมเข้าใจว่าเธอชื่อลูกชิ้น ที่ไหนได้ เธอบอกว่าชื่อลูกชิด ที่ใส่อยู่ในเต้าทึงนี่แหละ

ขนาดผมยังรู้สึกแอบปวดตับนิดๆ ตอนที่ต้องเรียกชื่อเธอ แล้วถ้าเป็นฝรั่งจะขนาดไหนนะ



******************************

วาย (Why)

"Hello. What's your name?"

"วาย"

"I'd like to know your name."

"วาย"

"Because you're cute, I like you! Can you tell me your name now?"

"วาย"

"Hey, why didn't you tell me easily?"

"วาย"

"You're annoying me! That's not funny!"

"วาย"

"...Forget it."

ทำฝรั่งคิดว่าหล่อนกวนตีนซะงั้น วายเอ๊ย...





ใคร ที่มีชื่อดังที่เขียนไว้ตามที่ว่ามานี้ ลองไปคิดชื่อใหม่ให้ฝรั่งเรียกจะดีกว่านะครับ เห็นเป็นเรื่องขำๆ ก็เถอะ แต่ลองคิดดูสิว่า ถ้าเกิดเราต้องติดต่องานกับฝรั่ง แล้วเราต้องใช้ชื่อที่ติดสแลงฝรั่งแบบนั้น ก็คงไม่ดีแน่ๆ



ป. ล. ด้วยความปรารถนาดีจากเจ้าของบล็อก ใครที่ชื่อ "เปิ้น" เวลาไปอยู่เมืองจีน ควรเรียกเต็มๆ ว่า "แอปเปิ้ล" ดีกว่านะ เพราะ "เปิ้น" ภาษาจีนแปลว่า "โง่"


fw mail

วันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

กฏ 10 ข้อ ในการฝึกภาษาอังกฤษ

10 Rules by Andrew Bigg: กฏ 10 ข้อ ในการฝึกภาษาอังกฤษ

ข้อ 1. Forget the rule ลืมกฏซะ
นั่นคือเวลาเราพูดภาษาอังกฤษ อย่าไปพะวงเรื่องของภาษาเราจะไม่ถูกไวยากรณ์ หรือใช้กริยาผิดช่อง เพราะฝรั่งเขาไม่เข้มงวดเรื่องนี้เองเลย

ข้อ 2. Make mistake พูดผิดซะ
พูดไปเถอะครับ ไม่ต้องกลัวผิด ถ้าเราผิดฝรั่งเขาก็เข้าใจครับว่าภาษาอังกฤษเป็น ภาษาที่ 2 ของเรา เขายังยินดีช่วยแก้ให้คุณได้ ถ้าเค้าไม่แก้ให้คุณก็อย่าไปคบเขาเลย

ข้อ 3. Don't translate อย่าแปลตรงตัว
ใช่ครับภาษาไทยกับอังกฤษ ไม่เหมือนกัน ห้ามไปแปลตรงตัวเช่นบอกว่า ภาษาอังกฤษของผม งูๆปลาๆ My english is snake snake fish fish พูดแบบนี้ฝรั่งงงแน่ๆครับ หรือบอกให้เปิดทีวีว่า open the TV อันนี้ผิดอย่างแรง เครื่องใช้ไฟฟ้าเค้าต้องพูดว่า turn on the TV นะ

ข้อ 4. Keep it simple ใช้ภาษาง่ายๆ
ใช่เลย จะพูดอังกฤษ คนไทยบางคนต้องคิดเอาให้ภาษาตัวเองดูไฮโซ พยายามใช้คำยากๆแทน เช่นจะไปกินข้าวที่บ้าน I'm going to dine at my house ไม่รู้จะใช้คำนี้ทำไมครับ ใช้ eat สิครับ จบ

ข้อ 5. Could you please slow down กรุณาพูดช้าๆหน่อย
คนไทยเป็นโรคขี้เกรงใจ หรือ หน้าแตก ครับ ฟังฝรั่งไม่เข้าใจ ก็ยังฟังต่อไป ไม่บอกให้เขารู้ว่าเราไม่เข้าใจ พอเป็นแบบนี้ก็เกิดความเข้าใจผิดทีหลัง หรือเขาสั่งงานมาเราก็ทำไม่ได้เพราะฟังไม่เข้าใจ ไม่ต้องกลัวครับถ้าฟังไม่ทัน ก็ขอให้เขาพูดช้าๆลงหน่อย

ข้อ 6. Relax ทำตัวสบายๆ
คนไทยเป็นโรคเกร็งเวลาคุยกับฝรั่ง หลายคน ไม่ต้องกลัวครับฝรั่งไม่ใช่ยักษ์ใช่มารที่ไหน เวลาคุยกับเขา ก็หักเป็นฝ่ายซักถามหรือชวนคุยไปเลยครับ เราจะได้ผูกมิตรกับเขา แล้วหมดโรคกลัวนี้ไปได้

ข้อ 7. Listen and Copy ฟังแล้วเลียนแบบ
ผมสนับสนุนมากๆครับ คือฝึกภาษา เราต้องหัดฟังแล้วเลียนแบบ และวิธีที่ดีที่สุดที่ผมชอบคือ ฝึกภาษาอังกฤษจากหนังนั่นแหละ ฝึกฟังแล้วเลียนแบบ เราจะได้ออกเสียงเป็น เผลอๆสำเนียงดีไปในตัวด้วย จะฝึกคำหยาบ คำสบถก็ทำไปเถอะ ถ้ามันช่วยคุณได้

ข้อ 8. Guess เดา
บางครั้งเวลาอ่านภาษาอังกฤษ แล้วเราไม่เข้าใจคำศัพท์ ผมมีวิธี ที่ผมเองก็ทำประจำ คือ เดาครับ อ่านหาใจความโดยรวมของเรื่องที่เราอ่าน บางครั้งเจอคำยากๆ เราก็ลองเดาว่ามันแปลว่าอะไร

ข้อ 9. Give yourself time ให้เวลากับตัวเอง
หมายถึงให้เวลากับตัวเองในการฝึกภาษาอังกฤษ จะบ่อยจะถี่แค่ไหนก็ขึ้นกับตัวเรา ไม่ใช่เห็นภาษาอังกฤษเป็นเรื่องน่าเบื่อ ก็ไม่สนใจที่จะขวนขวายหรือเรียนรู้ การมาอ่านบลอคของผม วันสองวันต่อครั้ง ก็ถือว่าคุณแบ่งเวลาตัวเองนิดเดียวไม่กี่นาทีในการฝึกภาษาอังกฤษเหมือนกัน

ข้อ 10. Read read read อ่าน อ่าน และก็อ่าน
ข้อสุดท้ายคือหัดอ่านอะเป็นภาษาอังกฤษเยอะๆ เราจะได้ภาษาเข้ามาให้หัว จนบางทีเก่งขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ตัวผมเรียนในมหาวิทยาลัยอินเตอร์ ผมอ่าน textbook ทั้งเล่มมาแล้วก็มี สิ่งที่ผมได้ ผมได้ทั้งคำศัพท์เฉพาะทางก็มีเยอะแยะ

วันจันทร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ฟังพระเล่ามา....ห้ามขำคนเดียวนะ

ถ้าตอนใส่บาตรแล้วที่ยืนสกปรกมาก จะต้องถอดรองเท้าใส่บาตรด้วยหรือไม่ ?
“ พระไม่ฉันรองเท้านะโยม”...ไม่ต้องเอารองเท้าใส่มานะ.....

----------------------------------------------------------------------------

พระนอนไม่หลับ เลยไปหาหมอใหม่จบมาจากเมืองนอก
หมอ: เป็นอะไรครับ
พระ : จำวัดไม่ได้จ๊ะโยมหมอ

หมอ: (ทำหน้างง) แล้วจะกลับวัดยังไง
พระ: (ทำหน้างงด้วย) มามอไซรับจ้างก็ต้องกลับมอไซนะโยม

หมอ: (ทำหน้าง๊งงง) แล้วมอไซรับจ้างจำวัดได้เ หรอ
พระ: (ทำหน้าง๊งงงด้วย) มอไซรับจ้างจำวัดไม่ได้หรอกโยม มีแต่พระที่จำวัดได้

หมอ: (ทำหน้างงง๊งงง) อ้าวไหนบอกว่าจำวัดไม่ได้ไง
พระ : !\=-+#@ %^&*( +๐"ฯ, ?


จำวัดเป็นภาษาพระแปลว่า นอน.........................

หมอ: อ๋ออออออออออออออออออออออออออ

----------------------------------------------------------------------------

ญาติโยมหลายท่านมักถามว่า "ท่านบวชเรียนมาตั้งแต่อายุยังน้อย อยู่ในเพศบรรพชิตมามากกว่าครึ่งชีวิต มีโอกาสสัมผัสชีวิตฆราวาสไม่มากนัก แล้วเอาข้อมูลวัตถุดิบหรือมุกมาจากไหนหนักหนา"

อาตมาก็ตอบว่า หลักๆเลยก็คือ การอ่าน นอกจากนั้นก็หนัง ละครที่ญาติโยมดูกันนั่นแหละ พอตอบออกไปอย่างนี้ โยมก็สวนกลับทันที "ไม่ผิดข้อห้ามหรือท่าน"

อาตมาก็จะอธิบายไปว่า ดูเพื่อให้เท่าทันกิเลสจะได้สกัดมันถูก และที่สำคัญหากอาตมาไม่รู้หรือไม่เข้าใจ ตลอดจนไม่เท่าทันเรื่องราวทางโลก และจะมาบรรยายธรรมให้ญาติโยมรู้สึกอินกันได้อย่างไร ซึ่งนอกจากการอ่าน การดูและการฟังแล้ว หลายวัตถุดิบที่นำมาสร้างเป็นมุกฮาก็ได้มาจากการพูดคุยกับเหล่าโยมๆนี่แหละ

อย่างวันหนึ่งระหว่างที่อาตมากำลังฉันเพลอยู่ก็มีโยมท่านหนึ่งโทร.มา
"พระอาจารย์เหรอคะ นี่อาตมาเองนะคะ"
"หา อะไรนะ"
"พระอาจารย์เหรอคะ นี่อาตมาเองค่ะ"
"ถ้าโยมแทนตัวว่าอาตมา แล้วอาตมาจะแทนตัวอาตมาว่าอะไร"
"อ๋อ ขอโทษค่ะ"
หลังจากนั้นก็คุยธุระกันจนจบ อาตมาก็กล่าวว่า "เจริญพร"
"ค่ะ เจริญพรเช่นกัน"
แน่ะ มีอวยพรให้พระด้วย

ข้างต้นก็คือ สิ่งที่มักจะเกิดขึ้นบ่อยๆระหว่างพูดคุยกับเหล่าญาติโยม จนถือว่าเป็นเรื่องปกติสำหรับอาตมาไปแล้ว หรืออย่างก่อนหน้านี้มีโยมผู้หญิงคนหนึ่ง เดินถือสังฆทานมาอย่างมาดมั่น พอเข้ามาในกุฏิแล้ว เธอก็มุ่งตรงไปที่พระบวชใหม่รูปหนึ่งทันที
"ถวายสังฆทานค่ะ"

พระบวชใหม่ด้วยความที่ยังจำบทสวดต่างๆ ไม่ค่อยคล่องนัก จึงหยิบหนังสือขึ้นมาดู
"ไม่ต้องค่ะ" โยมผู้หญิงคนนั้นกล่าวอย่างหนักแน่นตามสไตล์สาวมั่น
"ดิฉันท่องได้ค่ะ เพราะคุณยายพาเข้าวัดตั้งแต่เด็กๆ" เธอพนมมือขึ้น ก่อนกล่าวว่า

"อิมานิ มะยัง ภันเต สะปะริวารานิ คิกขุ สังโฆ" (ที่ถูกต้องจะต้องเป็น ภิกขุ สังโฆ)

พระบวชใหม่มีสีหน้างุนงง ก่อนหันมาถามอาตมา "คิกขุสังโฆ นี่มันฟังทะแม่งๆ นะหลวงพี่"

อาตมาเกรงว่าโยมผู้นั้นจะหน้าแตก ก็เลยตอบไปว่า "คิกขุ แปลว่า น่ารัก

สังโฆ แปลว่า สงฆ์ คิกขุสังโฆ ก็คือ แด่พระสงฆ์ผู้น่ารัก" เท่านั้นแหละ
พระใหม่รูปนั้นนั่งยืดทั้งวันเลย

แต่ก็มีบางกรณีที่การพูดผิดของคุณโยมทำให้อาตมาแทบจะสำลัก อย่างเมื่อเร็วๆนี้ มีโยมท่านหนึ่งโทรศัพท์มา "หลวงพี่ขา ขอเรียนเชิญนิมนต์ค่ะ"
"ไปไหนล่ะโยม"

"ไปมรณภาพที่บ้านน่ะค่ะ"

โห นิมนต์พระไปตายถึงที่บ้านเลย อาตมาจึงบอกไปว่า ถ้านิมนต์ไปงานศพไปให้ได้ แต่ถ้าเชิญไปมรณภาพนี่ ช่วงนี้อาตมาไม่ว่างจริงๆ ขอตัวเถอะนะโยม

จากตัวอย่างข้างต้น คุณโยมอาจจะเห็นเป็นเรื่องขบขัน แต่มันก็สะท้อนให้เห็นความห่างเหินระหว่างคนกับวัดได้ในระดับหนึ่ง ปัจจุบันนี้คนจะนึกถึงวัดในกรณีพิเศษ เท่านั้น เช่นงานบวช งานศพ

ต่างกับสมัยก่อนที่วัดเป็นศูนย์ก ลางของชุมชน ฆราวาสกับพระจึงสนทนากันไหลลื่น ไม่มีคำแปลกๆ หรือผิดที่ผิดทางออกมาให้พระสดุ้งแต่อย่างใด ซึ่งถ้าพูดถึงศัพท์

แสงที่แสลงใจแล้ว ตอนไปบิณฑบาตอาตมาจะเจอบ่อยมาก เช่น

มีอยู่ครั้งหนึ่งระหว่างที่กำลังเดินๆอยู่ ก็ได้ยินเสียงใสๆ แว่วขึ้นมา
"แม่ๆ พระมาขอข้าว"
"มาเยอะไหมลูก"
"มา 2 อัน"
โห เรียกอย่างกับชิ้นส่วนรถยนต์ นี่ถ้ามาเยอะๆไม่เรียกเป็นฝูงเลยเหรอ

ดังนั้นเวลาไปบรรยายธรรมให้นักเรียนฟังอาตมาจะนำเรื่องนี้ไปสอดแทรกเพื่อสอนเด็กๆด้วย

"ถ้าพระกิน เรียก ฉัน"
" พระนอน เรียก จำวัด" (บางคนเรียกขี้เกียจเป็นพระนอนไม่ได้)
" พระป่วย เรียก อาพาธ"
" พระตาย เรียก มรณภาพ" (ไม่ใช่เรียกป่อเต็กตึ๊งนะ)
" แล้วพระอาบน้ำล่ะ เรียกอะไรเอ่ย" คราวนี้อาตมาถามให้เด็กๆ ตอบบ้าง

"เรียกคนมาดู"

555555

วันอาทิตย์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

สาส์นจาก ท่าน Dalai Lama

สาส์นจาก ท่าน Dalai Lama ที่ได้กล่าวไว้สำหรับปี 2009นี้

ข้อแนะนำในการดำเนินชีวิต

1. ระลึกเสมอว่า การจะได้พบความรักและความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ก็ต้องประสบกับความเสี่ยงอันมหาศาลดุจกัน

2. เมื่อคุณแพ้ อย่าลืมเก็บไว้เป็นบทเรียน

3. จงปฏิบัติตาม 3 Rs

3.1 เคารพตนเอง ( Respect for self )

3.2 เคารพผู้อื่น ( Respect for others )

3.3 รับผิดชอบต่อการกระทำของตน ( Responsibility for all your actions )

4. จงจำไว้ว่า การที่ไม่ทำตามใจปรารถนาของตนบางครั้งก็ให้โชคอย่างน่ามหัศจรรย์

5. จงเรียนรู้กฎ เพื่อจะทราบวิธีการฝ่าฝืนอย่างเหมาะสม

6. จงอย่าปล่อยให้การทะเลาะเบาะแว้งด้วยเรื่องเพียงเล็กน้อย มาทำลายมิตรภาพอันยิ่งใหญ่ของคุณ

7. เมื่อคุณรู้ว่าทำผิด จงอย่ารอช้าที่จะแก้ไข

8. จงใช้เวลาในการอยู่ลำพังผู้เดียวในแต่ละวัน

9. จงอ้าแขนรับการเปลี่ยนแปลง แต่อย่าปล่อยให้คุณค่าของคุณหลุดลอยจากไป

10. จงระลึกไว้ว่า บางครั้งความเงียบก็เป็นคำตอบที่ดีที่สุด

11. จงดำเนินชีวิตด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อที่ว่าเมื่อคุณสูงวัยขึ้นและคิดหวนกลับมาคุณจะสามารถมีความสุขกับสิ่งที่ได้ทำลงไปได้อีกครั้ง

12. บรรยากาศอันอบอุ่นในครอบครัวเป็นพื้นฐานสำคัญของชีวิต

13. เมื่อเกิดขัดใจกับคนที่คุณรัก ให้หยุดไว้แค่เรื่องปัจจุบัน อย่าขุดคุ้ยเรื่องในอดีต

14. จงแบ่งปันความรู้ เพื่อเป็นหนทางก้าวสู่ความเป็นอมตะ

15. จงสุภาพกับโลกใบนี้

16. จงหาโอกาสท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่าง ๆ ที่คุณไม่เคยไป อย่างน้อยก็ปีละครั้ง

17. จำไว้ว่า ความสัมพันธ์ที่ดีที่สุด คือความรักมิใช่ความใคร่

18. จงตัดสินความสำเร็จของตนด้วยสิ่งที่ต้องเสียสละ

19. จงเข้าใกล้ความรักด้วยการปล่อยวาง

ไฟฟ้าช๊อต ตายช่วยได้ครับ.....

ไฟฟ้าช๊อต ตายช่วยได้ครับ.....

ก่อนอื่นผมขอออกตัวนะครับทุกท่าน ว่าไม่ใช่ผู้ที่มีความรู้เลิศเลอ มากมาย เพียงแต่อยากจะนำความรู้ที่พอมี และประสบการณ์มาแบ่งปันกันบ้างในฐานะที่เราอยู่ใต้ร่มโพธิ์ อาศัยพระบารมีของพระองค์ท่าน

ไฟฟ้าเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันมาตลอด มีคุณอนันต์ แต่มีโทษมหันต์ครับ ผมไปเรียนซ่อม วิทยุโทรทัศน์ เครื่องขยายเสียงและ..ฯ กับคุณครู ถาวร คำมณีจันทร์ คนขอนแก่น ท่านเป็นช่างยุคแรก ๆ ของเมืองไทย เคยอยู่โรงเรียนแสงทองวิทยุโทรทัศน์ ,อิเล็กทรอนิคส์กรุงเทพ-รังสิต สุดท้ายกลับบ้านสร้างโรงเรียนสอนซ่อมโทรทัศน์ที่ อ.ชุมแพ ขอนแก่นโน่น

ท่านแนะนำเกี่ยวกับคนที่โดนไฟฟ้าช็อตตาย

ตายนะครับ

อย่าปล่อยไว้นานเกิน 1 ชั่วโมง และอย่าเพิ่งรีบส่งโรงพยาบาล ให้หาทางคลายประจุไฟฟ้าในตัวคนตายก่อน

โดยหาแผ่นเหล็ก หรือสังกะสีมาวางคนที่โดนไฟฟ้าช็อตบนนั้น แล้วเทน้ำราด(อย่าให้น้ำเข้าจมูกนะครับ กระแสไฟที่อยู่ในตัวจะถูกคลายประจุลงดินครับ..เขาจะค่อย ๆ รู้สึกตัว หรือร้องลั่น ก็แล้วแต่ ฟื้นแล้วค่อยส่งโรงพยาบาล

ผมเคยเจอมากับตัวเองครับ ฟื้นครับ สิบราย ฟื้นทั้งสิบครับ สมัยก่อน นะครับ คนที่ถูกฟ้าลงข้าง ๆ ตัว (ไม่ถึง กะตัวไหม้เกรียมนะครับ)เขาใช้ น้ำเหล้าขาวที่ดื่มกันมาเป่า ก็ ยังฟื้นได้นับประสาอะไรกับน้ำเป็นครุถัง แต่ถ้านำไปโรงพยาบาลทันที โดนปั๊มหัวใจทันที ตับแตกตายแน่นอนครับท่าน

สาเหตุเพราะว่ากระแสไฟฟ้าชาร์ทประจุอยู่เต็มตัว ฉะนั้นจึงให้คลายประจุก่อน จึงค่อยส่งโรงพยาบาลและขอแนะนำว่า เครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิดให้ทำการต่อสายดินเอาที่เส้นโต ๆ หน่อยหาเหล็กแท่งมาตอกลงดินเทน้ำให้ชื้น ๆ คนใช้ ก็ จะปลอดภัยครับ

ส่วนสาเหตุที่ เมื่อต่อสายดินแล้วทำไมไฟฟ้าไม่ช็อตนั้นตามหลักการแล้วกระแสไฟฟ้าจะไหลผ่านตัวนำที่เป็นสื่อทุกชนิด มากน้อยแล้วแต่ความต้านทานของสื่อไฟฟ้าครับ ความต้านทานน้อย กระแสไฟฟ้าจะไหลผ่านมาก ความต้านทานมากกระแสไฟฟ้าจะไหลผ่านได้น้อย

ขอให้ท่านสังเกตุดูนะครับว่าเสาไฟฟ้าแรงต่ำจะมีสายต่อลงดินเป็นระยะ ๆ ไป นั่นก็เป็นการป้องกันในระดับหนึ่งครับ เรื่องของสายล่อฟ้าก็เช่นเดียวกันไม่ใช่ไม่ให้ฟ้าลงนะครับ แต่เป็นการล่อให้มันลงมา ลงมาทีละน้อย ๆ ไง.

มันจึงไม่ผ่าเพราะประจุไฟฟ้าไม่มากพอ ถ้าท่านไม่เชื่อ ในขณะครื้มฟ้าครื้มฝนลองไปยืนใกล้ ๆสายล่อฟ้าดูนะครับ จะมีกระแสไฟฟ้าทำให้เราขนลุกได้แต่ไม่มีอันตราย

......ขอจบตรงนี้นะครับ ความดี นี้ขอมอบแด่คุณครู ถาวร คำมณีจันทร์ ผู้ถ่ายทอดประสบการณ์ครับ...